top of page

Deep Stop กับข้อถกเถียงกันในการดำน้ำลึก

  • รูปภาพนักเขียน: Sommote Chaicharoenmaitre
    Sommote Chaicharoenmaitre
  • 2 พ.ค.
  • ยาว 2 นาที

อัปเดตเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา

การช่วยลดความเสี่ยงของการเกิด decompression sickness (DCS) หรือที่นักดำน้ำทั่วไปรู้จักกันในชื่อ "โรคเบนด์" นั้น มีหลายมุมมองเรื่องของการลดแรงกดระหว่างการขึ้นสู่ผิวน้ำ และมีหลายวิธีปฏิบัติด้วยกัน


ลองนึกภาพว่าเมื่อเราดำน้ำลึกลงไป ร่างกายของเราจะรับแรงดันที่สูงขึ้น ทำให้ก๊าซเฉื่อย เช่น ไนโตรเจน ในอากาศที่เราหายใจเข้าไป ละลายเข้าไปในเนื้อเยื่อและกระแสเลือดของเรามากขึ้น ยิ่งดำน้ำลึกและนานเท่าไหร่ ปริมาณก๊าซไนโตรเจนที่สะสมในร่างกายก็จะยิ่งมากขึ้น


ทีนี้ ตอนที่เราเริ่มขึ้นสู่ผิวน้ำ แรงดันรอบตัวเราจะค่อยๆ ลดลง ทำให้ก๊าซไนโตรเจนที่ละลายอยู่ในร่างกายเริ่มกลับสภาพเป็นฟองก๊าซ หากเราขึ้นสู่ผิวน้ำเร็วเกินไป ฟองก๊าซเหล่านี้อาจมีขนาดใหญ่และมีจำนวนมากจนไปอุดตันหลอดเลือด หรือไปกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการต่างๆ ของโรคเบนด์ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นอัมพาตหรือเสียชีวิตได้

Deep stop เข้ามามีบทบาทสำคัญ:

Deep stop คือการหยุดพักที่ความลึกระหว่างความลึกสูงสุดที่เราดำลงไป กับความลึกของการหยุดเพื่อความปลอดภัย (safety stop) ที่ความลึกประมาณ 5 เมตร (15 ฟุต) เช่น การดำน้ำที่จุดดำน้ำที่มีความลึก 36 เมตร จะมีการหยุด deep stop ที่ 18 เมตร เป็นเวลา 1 นาที เป็นต้น การหยุดพักที่ความลึกเหล่านี้จะช่วยให้:

  • ค่อยๆ ลดแรงดันในร่างกาย: ทำให้ก๊าซไนโตรเจนที่ละลายอยู่ในเนื้อเยื่อค่อยๆ คลายตัวออกมาอย่างช้าๆ และถูกขับออกจากร่างกายผ่านการหายใจ

  • ลดการก่อตัวของฟองก๊าซขนาดใหญ่: เมื่อแรงดันลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ฟองก๊าซที่เกิดขึ้นจะมีขนาดเล็ก และร่างกายสามารถกำจัดออกไปได้ง่ายขึ้น

  • ช่วยให้ร่างกายปรับตัว: เป็นการให้เวลาให้ร่างกายปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของแรงดันทีละน้อย

เปรียบเทียบง่ายๆ: ลองนึกภาพขวดโซดาที่ถูกเขย่า ถ้าเราเปิดฝาทันที ฟองก๊าซจะพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเราค่อยๆ เปิดฝาทีละนิด ปล่อยให้ก๊าซค่อยๆ ออกมา ฟองก็จะน้อยลงและไม่รุนแรง

ถึงแม้ว่าการคำนวณตารางดำน้ำและคอมพิวเตอร์ดำน้ำสมัยใหม่จะมีการคำนวณเวลาขึ้นสู่ผิวน้ำที่ปลอดภัยอยู่แล้ว แต่การทำ deep stop ถือเป็นมาตรการความปลอดภัยเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำน้ำลึกหลายครั้งติดต่อกัน (repetitive dives) หรือการดำน้ำที่โปรไฟล์มีความซับซ้อน

ดังนั้น การทำ deep stop อย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักดำน้ำลึกทุกคน เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบนด์และทำให้การดำน้ำเป็นไปอย่างปลอดภัยและสนุกสนานอีกด้วย


Deep stop กับการดำน้ำแบบ recreational และ technical

ถึงแม้ว่า deep stop จะเป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมในหมู่นักดำน้ำสันทนาการเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่ในวงการ technical diving ความนิยมของ deep stop กลับไม่สูงเท่าที่ควร มีหลายเหตุผลที่อธิบายปรากฏการณ์นี้:

  1. ทฤษฎีการบีบอัดแก๊สที่ซับซ้อนกว่า: การดำน้ำเทคนิคอลมักเกี่ยวข้องกับการดำน้ำที่ลึกกว่าและนานกว่าการดำน้ำสันทนาการมาก นักดำน้ำเทคนิคอลยังใช้แก๊สผสมหลายชนิด (เช่น Trimix ที่มีฮีเลียม) เพื่อลดผลกระทบของไนโตรเจนนาร์โคซิสและออกซิเจนเป็นพิษ ทฤษฎีการบีบอัดแก๊สสำหรับแก๊สผสมเหล่านี้มีความซับซ้อนกว่ามาก และการหยุดพักเพื่อลดแรงดันจึงต้องมีการคำนวณที่แม่นยำโดยอิงตามการดูดซึมและคายแก๊สของเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งอาจแตกต่างจากแนวคิด deep stop แบบง่ายๆ ที่ใช้ในการดำน้ำสันทนาการ

  2. การพึ่งพาแบบจำลองการบีบอัดขั้นสูง: นักดำน้ำเทคนิคอลส่วนใหญ่มักใช้คอมพิวเตอร์ดำน้ำขั้นสูงและซอฟต์แวร์วางแผนการดำน้ำที่ใช้แบบจำลองการบีบอัดที่ซับซ้อน เช่น Bühlmann ZHL-16 หรือ VPM (Varying Permeability Model) แบบจำลองเหล่านี้จะคำนวณตารางการหยุดพักเพื่อลดแรงดัน (decompression stops) ที่ความลึกต่างๆ อย่างละเอียด โดยพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ความลึกสูงสุด เวลาที่อยู่ใต้น้ำ แก๊สผสมที่ใช้ และอัตราการขึ้นสู่ผิวน้ำ การเพิ่ม deep stop เข้าไปโดยไม่ได้อิงตามการคำนวณของแบบจำลองเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดความไม่สอดคล้องกันและอาจเพิ่มความเสี่ยงได้

  3. ข้อถกเถียงทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับประสิทธิภาพ: ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีงานวิจัยบางชิ้นที่ตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของ deep stop ในการลดความเสี่ยงของ DCS โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำน้ำลึกและนาน บางการศึกษาพบว่า deep stop อาจไม่ได้ลดการก่อตัวของฟองก๊าซในเลือดอย่างมีนัยสำคัญ และในบางกรณีอาจเพิ่มความเสี่ยงได้ด้วยซ้ำ นักดำน้ำเทคนิคอลซึ่งให้ความสำคัญกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จึงอาจไม่นิยมใช้ deep stop จนกว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนและสนับสนุนมากกว่านี้

  4. ความสำคัญของการหยุดพักเพื่อลดแรงดันที่ตื้นกว่า: ในการดำน้ำเทคนิคอล การหยุดพักเพื่อลดแรงดันที่ความลึกตื้น (shallow stops) ใกล้ผิวน้ำมีความสำคัญอย่างยิ่งในการกำจัดแก๊สเฉื่อยออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ นักดำน้ำเทคนิคอลจึงมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติตามตารางการหยุดพักเพื่อลดแรงดันที่คำนวณมาอย่างแม่นยำ โดยอาจไม่เห็นความจำเป็นในการเพิ่ม deep stop ที่ความลึกมากกว่า

  5. ความแตกต่างในปรัชญาการดำน้ำ: การดำน้ำเทคนิคอลมักเน้นความแม่นยำ การวางแผนอย่างละเอียด และการปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ การเพิ่ม deep stop ที่ไม่ได้อยู่ในแผนอาจถูกมองว่าเป็นการเบี่ยงเบนจากแผนที่วางไว้ ซึ่งอาจไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักดำน้ำเทคนิคอลที่ให้ความสำคัญกับความเป็นระบบ

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือแนวคิดเกี่ยวกับ deep stop ยังคงมีการพัฒนาอยู่ และนักดำน้ำเทคนิคอลบางคนอาจยังคงใช้ deep stop ร่วมกับตารางการหยุดพักเพื่อลดแรงดันของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์การดำน้ำบางประเภทที่พวกเขาเชื่อว่าอาจมีประโยชน์


โดยสรุปแล้ว การที่ deep stop ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรในหมู่ technical diving นั้นมีสาเหตุหลักมาจากความซับซ้อนของทฤษฎีการบีบอัดแก๊สในการดำน้ำลึก การพึ่งพาแบบจำลองการบีบอัดขั้นสูง ข้อถกเถียงทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับประสิทธิภาพ และความสำคัญของการหยุดพักเพื่อลดแรงดันที่ตื้นกว่า


Deep stop สรุปว่าควรทำหรือไม่?

มันไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า "ควร" หรือ "ไม่ควร" ทำ deep stop เสมอไป เพราะประสิทธิภาพและความเหมาะสมของ deep stop ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

ข้อดีที่อาจเกิดขึ้นของการทำ Deep Stop:

  • อาจช่วยลดการก่อตัวของฟองก๊าซขนาดใหญ่: ทฤษฎีเบื้องหลัง deep stop คือการช่วยให้ก๊าซไนโตรเจนที่ละลายอยู่ในเนื้อเยื่อค่อยๆ คลายตัวออกมาในขณะที่แรงดันยังสูงอยู่ ซึ่งอาจช่วยลดการก่อตัวของฟองก๊าซขนาดใหญ่ที่อาจเป็นอันตรายเมื่อขึ้นสู่ผิวน้ำ

  • อาจช่วยลดภาระการคายก๊าซที่ความลึกตื้น: การปล่อยไนโตรเจนออกไปบ้างในระดับความลึกที่มากขึ้น อาจทำให้ร่างกายมีภาระในการคายก๊าซที่ระดับความลึกตื้นน้อยลง

  • อาจมีประโยชน์ในการดำน้ำบางประเภท: นักดำน้ำบางคนเชื่อว่า deep stop อาจมีประโยชน์ในการดำน้ำลึกหลายครั้งติดต่อกัน (repetitive dives) หรือการดำน้ำที่มีโปรไฟล์แบบ "multi-level dives"

ข้อโต้แย้งและข้อควรระวังเกี่ยวกับการทำ Deep Stop:

  • หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังไม่ชัดเจน: งานวิจัยบางชิ้นไม่พบว่า deep stop ช่วยลดความเสี่ยงของ DCS อย่างมีนัยสำคัญ และบางการศึกษาอาจชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในบางสถานการณ์ เช่น การคำนวนด้วย Tissue Model ที่เห็นว่าการทำ deep stop นั้นจะมี tissue compartment บางกลุ่มอาจจะกำลัง on-gassing แทนที่จะมีการ off-gassing ตามที่วางแผนไว้ได้ ทำให้การพักน้ำที่ตื้นนั้นจะต้องระมัดระวัง tissue compartment นี้เพิ่มขึ้น แทนที่จะให้ tissue compartment ทุกกลุ่มได้ทำการ off-gassing ในที่ตื้นทั้งหมด

  • อาจเพิ่มเวลาที่อยู่ใต้น้ำโดยรวม: การเพิ่ม deep stop เข้าไปในแผนการดำน้ำจะทำให้เวลาที่นักดำน้ำต้องอยู่ในน้ำนานขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงอื่นๆ เช่น การหมดอากาศ หรือการเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยนานขึ้น

  • อาจทำให้การขึ้นสู่ผิวน้ำซับซ้อนขึ้น: การเพิ่มจุดหยุดพักที่ไม่ได้รับการคำนวณอย่างแม่นยำอาจทำให้การปฏิบัติตามแผนการขึ้นสู่ผิวน้ำที่คำนวณไว้เดิมซับซ้อนขึ้น และอาจนำไปสู่ความสับสนได้

  • แบบจำลองการบีบอัดส่วนใหญ่ไม่ได้รวม deep stop: คอมพิวเตอร์ดำน้ำและตารางดำน้ำส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ได้ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อรองรับ deep stop การเพิ่ม deep stop โดยไม่เข้าใจผลกระทบต่อการคำนวณการลดแรงดันโดยรวมอาจเป็นอันตราย

สรุป:

ในปัจจุบัน ยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นเอกฉันท์ ว่า deep stop ควรทำหรือไม่ในการดำน้ำสันทนาการและเทคนิคอล นักดำน้ำแต่ละคนควร:

  • ศึกษาและทำความเข้าใจ ทั้งทฤษฎีและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ deep stop

  • ปรึกษาผู้สอนดำน้ำที่มีประสบการณ์ และรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย

  • พิจารณาปัจจัยต่างๆ ในการดำน้ำแต่ละครั้ง เช่น ความลึก เวลา แก๊สผสมที่ใช้ โปรไฟล์การดำน้ำ และสภาพร่างกายของตนเอง

  • หากตัดสินใจที่จะทำ deep stop ควรทำด้วยความระมัดระวัง และอาจใช้แนวทางที่แนะนำโดยองค์กรดำน้ำบางแห่ง หรือตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ

โดยทั่วไปแล้ว นักดำน้ำเทคนิคอลมักจะพึ่งพาการวางแผนการลดแรงดันที่แม่นยำโดยใช้แบบจำลองการบีบอัดขั้นสูง และอาจไม่นิยมใช้ deep stop ที่ไม่ได้รวมอยู่ในแผนการคำนวณของพวกเขา ในขณะที่นักดำน้ำสันทนาการบางคนอาจเลือกที่จะเพิ่ม deep stop เป็นมาตรการความปลอดภัยเพิ่มเติม แต่ก็ควรทำด้วยความเข้าใจและระมัดระวังที่มากขึ้น

Comentários


bottom of page